นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่าจากกรณีพบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก ใน ๔ ประเทศ ได้แก่กินีไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และไนจีเรียแต่สำหรับในประเทศไทย ยังไม่พบมีรายงานผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำตามประกาศขององค์การอนามัยโลก ตามประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ข้อมูลองค์การอนามัยโลก ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ พบผู้ป่วยสะสม ๒,๖๑๕ราย เสียชีวิต ๑,๔๒๗ ราย ใน ๔ ประเทศ โดยเป็นผู้ป่วยประเทศกินี๖๐๗ ราย (เสียชีวิต ๔๐๖ ราย) ไลบีเรีย ๑,๐๘๒ ราย (เสียชีวิต ๖๒๔ ราย) เซียร์ราลีโอน ๙๑๐ ราย (เสียชีวิต ๓๙๒ ราย) และไนจีเรีย ๑๖ ราย (เสียชีวิต ๕ ราย)
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เกิดจากเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus)ระยะฟักตัวประมาณ๒ ๒๑วัน ผู้ป่วยจะมีอาการ ดังนี้มีไข้สูงทันทีทันใด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และเจ็บคอ ตามด้วยอาการ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว ในรายที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตจะพบมีเลือดออกง่าย โดยอาจมีเลือดออกภายในและภายนอกร่างกาย มักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวาย หรือก่อให้เกิดอาการของระบบประสาทส่วนกลาง ช็อก และเสียชีวิต
การติดต่อของเชื้อไวรัสอีโบลาจากคนสู่คน เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือดที่ติดเชื้อ สารคัดหลั่ง อวัยวะ หรือนํ้าอสุจิ นอกจากนี้ การติดเชื้อในโรงพยาบาลก็พบได้บ่อยผ่านทางเข็มและหลอดฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อ และยังพบการแพร่กระจายเชื้ออีโบลาในพิธีศพได้บ่อยเนื่องจากญาติผู้เสียชีวิตอาจมีการสัมผัสโดยตรงกับร่างกายของผู้เสียชีวิต
ระยะติดต่อของโรคจะไม่มีการแพร่เชื้อก่อนระยะมีไข้ และจะแพร่เชื้อเพิ่มมากขึ้นในระยะที่มีอาการป่วยนานเท่าที่เลือดและสารคัดหลั่งยังมีไวรัสอยู่ การป้องกัน ยังไม่มีวัคซีนหรือการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง ควรป้องกันการมีเพศสัมพันธ์หลังการเจ็บป่วยเป็นเวลา ๓เดือน หรือจนกระทั่งตรวจไม่พบไวรัสในนํ้าอสุจิ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร เรื่อง โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา จากกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง ถึงแม้โรคนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยแต่อาจมีประชาชนบางกลุ่ม รวมถึงนักท่องเที่ยวเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนทั่วไป และผู้เดินทางไปยังต่างประเทศ มีความรู้ในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคดังกล่าว จึงขอแนะนำให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นปัจจุบัน ได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค หมายเลข ๑๔๒๒ หรือเว็บไซต์สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค (http://beid.ddc.moph.go.th)
|